ความเลอค่าเหนือกาลเวลาของนาฬิกา Rolex แบบประดับเพชรที่เกิดจากการควบคุมมาตรฐานอันเข้มงวดและความเชี่ยวชาญภายในองค์กร
บทความ: LuxuoTH
ต่อให้กระแสสังคมเรียกร้องหานาฬิกา Rolex ในกลุ่มโปรเฟชชันนอลหรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่าแนวสปอร์ตมากเพียงใด แต่นั่นก็ยังเป็นเพียงแค่รูปโฉมหนึ่งเท่านั้นของแบรนด์ระดับยักษ์ใหญ่แบรนด์นี้ หากคุณเลือกดูดีๆ จะยังเห็นอีกหลากหลายรุ่นโดยเฉพาะที่ผลิตด้วยโลหะมีค่าและประดับเพชร แซฟไฟร์หรืออัญมณีอื่นบนขอบหน้าปัด บนหน้าปัด บนตัวเรือนหรือแม้แต่บนสายนาฬิกาก็ตาม เรือนเวลาที่มีความแตกต่างเหล่านี้สามารถมอบประสบการณ์ที่แปลกใหม่ให้กับเราได้ โดยยังคงไว้ซึ่งรูปลักษณ์แห่งความเป็น Rolex ที่เราคุ้นเคย และในเรื่องความทนทานนั้นก็นับได้ว่าคงทนสูงสุดเฉกเช่นเดียวกับรุ่นอื่นๆ เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว Rolex ก็เป็นแบรนด์ที่ใส่ใจรายละเอียดและพิถีพิถันเรื่องคุณภาพหรือความเข้มงวดในทุกขั้นตอนการผลิตอย่างเต็มที่อยู่แล้ว
Rolex มีการผลิตนาฬิกาประดับเพชรมาตั้งแต่อดีตและยังคงความเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นสูงในด้านนี้จวบจนปัจจุบัน การทำงานของ Rolex นั้นไม่ได้มีเพียงช่างนาฬิกาและช่างเทคนิคแขนงต่างๆ เท่านั้น หากแต่ยังมีนักอัญมณีศาสตร์และช่างจัดเรียงอัญมณีเป็นพนักงานภายในบริษัทเองเลยด้วย
ด่านแรกของการทำงานคือนักอัญมณีศาสตร์ที่จะเป็นผู้คัดกรองว่าเพชรหรือพลอยที่ได้รับมานั้นมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้อย่างรัดกุมหรือไม่ ในขั้นตอนนี้นอกจากความเชี่ยวชาญของตัวนักอัญมณีศาสตร์เองแล้วก็ยังมีการใช้เครื่องมือหลายชนิดด้วยกัน ทั้งเอ็กซ์เรย์และอุปกรณ์อื่นเพื่อยืนยันว่าเพชรหรืออัญมณีนั้นเป็นของแท้และมีองค์ประกอบทางเคมีตามที่ต้องการ ทั้งนี้ Rolex เลือกใช้เฉพาะอัญมณีที่มีคุณภาพสูงสุดเท่านั้น หากเป็นเพชรก็จะต้องจัดอยู่ในเกรด IF หรือ Internally Flawless ซึ่งเป็นเกณฑ์ความบริสุทธิ์ระดับสูงสุดของวงการ และในเรื่องสีนั้น Rolex เลือกใช้เฉพาะเพชรที่ขาวใสที่สุดนั่นก็คือสี D และสี G ตามระบบการจัดอันดับของสถาบันอัญมณีศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการคัดเลือกแล้ว เพชรและอัญมณีชนิดต่างๆ นั้นจะถูกส่งไปยังช่างจัดเรียงอัญมณีซึ่งปฏิบัติหน้าที่ด้วยความแม่นยำเฉกเช่นช่างนาฬิกา โดยใช้สายตาอันหลักแหลมประดับอัญมณีทีละเม็ดลงบนนาฬิกา ช่างจัดเรียงอัญมณีเหล่านี้อาจจะเป็นช่างศิลป์ก็จริงแต่เขาก็ต้องทำงานกับบุคลากรจากแผนกอื่นด้วย เช่น นักออกแบบของฝ่ายสร้างสรรค์เพื่อร่วมกันกำหนดเรื่องสีของอัญมณีที่จะใช้ตลอดจนเรื่องของการจัดวาง โดยที่ทั้งหมดนี้จะต้องได้สมดุลอยู่ในกรอบของความงามและความเหมาะสมทางด้านเทคนิค
ในการทำงานแต่ละวันนั้นช่างจัดเรียงอัญมณีก็จะต้องบรรจงวางเพชรหรือพลอยทีละเม็ดก่อนที่จะกดด้วยน้ำหนักที่พอเหมาะแล้วจึงดันโลหะโดยรอบเข้ามาล็อค เกณฑ์มาตรฐานของ Rolex นั้นกำหนดไว้ละเอียดมากถึงระดับ 1/200 มม. หรือเทียบเท่าหนึ่งในสี่ของเส้นผ่าศูนย์กลางของเส้นผมมนุษย์เท่านั้น ความละเอียดเช่นนี้เกิดขึ้นได้ทักษะของช่างจัดเรียงอัญมณีในการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม หามุมที่พอดีและใช้กำลังแต่พอเหมาะในการติดตั้งอัญมณีทีละเม็ดจนครบ หากเป็นหน้าปัดชนิดปูเพชรเต็มพื้นที่ก็อาจมีเพชรมากถึง 3,000 เม็ดเลยทีเดียว
อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญก็คือเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ในการเลือกใช้เพชรและอัญมณีหลากสีในนาฬิกาเรือนเดียวกัน เหมือนเช่นที่ปรากฏเด่นชัดในนาฬิการุ่น Oyster Perpetual Yacht-Master 40 ที่ผลิตด้วยวัสดุไวท์โกลด์ 18 กะรัตเป็นครั้งแรก วงแหวนสเกล 60 นาทีบนขอบหน้าปัดถูกแทนที่ด้วยการประดับอัญมณีทรงทราพีซคัทเป็นแพทเทิร์นสีเรียงไล่กันไป เริ่มต้นด้วยแซฟไฟร์สีชมพู แซฟไฟร์สีฟ้าอ่อน เพชรสีขาว แซฟไฟร์สีม่วงและแซฟไฟร์สีน้ำเงิน แล้ววนซ้ำใหม่จนครบ 8 ครั้งรอบขอบหน้าปัดและจบด้วยเพชรทรงสามเหลี่ยมที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา
ตัวเรือนไวท์โกลด์ 18 กะรัตของนาฬิการุ่นนี้ยังมีการประดับเพชรทรงบริลเลียนท์คัทเพิ่มเติมอีก 46 เม็ดบนขาตัวเรือนและบ่าป้องกันเม็ดมะยม แต่ในเรื่องของความทนทานนั้นตัวเรือนรุ่นนี้ก็ไม่ได้ด้อยกว่ารุ่นที่ไม่ประดับเพชรแต่อย่างใด แซฟไฟร์คริสตอลของนาฬิการุ่นนี้ทนทานต่อการขีดข่วนและมีการเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนบนเลนส์ Cyclops เหนือหน้าต่างวันที่ด้วย
เข็มบอกเวลาไวท์โกลด์ 18 กะรัตเดินเหนือหน้าปัดสีดำเงาอย่างแม่นยำด้วยการออกแบบและโครงสร้างของกลไก calibre 3235 ที่มีบาลานซ์บริดจ์ที่มั่นคงเป็นพิเศษ และมีน็อต Microstella ทอง 4 ตัวเพื่อการปรับตั้งนาฬิกาด้วยความแม่นยำสูง กำลังลานสำรองของเครื่องนาฬิกาแบบขึ้นลานอัตโนมัติรุ่นนี้อยู่ที่ประมาณ 70 ชั่วโมง Oyster Perpetual Yacht-Master 40 เวอร์ชั่นนี้มาพร้อมสายนาฬิกา Oysterflex ที่มีชุดตัวล็อกนิรภัย Oysterlock ผลิตจากไวท์โกลด์ 18 กะรัต
นาฬิกาแบบประดับเพชรของ Rolex นั้นยังมีอีกมากมายหลายรุ่น บ้างก็มีการประดับเพชรเต็มพื้นที่ของหน้าปัดและขอบหน้าปัดเหมือนอย่างเช่น Oyster Perpetual Day-Date 40 รุ่นเยลโลว์โกลด์ 18 กะรัตรุ่นนี้ที่เราเลือกมาเป็นตัวอย่างเพื่อให้เห็นว่าการที่จะประดับเพชรได้เต็มหน้าปัดเช่นนี้ได้นั้น ช่างจัดเรียงอัญมณีจะต้องใช้ความชำนาญในการขุดร่องด้วยมือก่อนที่จะฝังเพชรลงไปอย่างบรรจง บนหน้าปัดของนาฬิการุ่นนี้มีเพชรทรงบาแก็ตคัทจำนวน 10 เม็ดด้วยเพื่อทำหน้าที่เป็นหลักชั่วโมง และบนขอบหน้าปัดที่ล้อมรอบทุกสิ่งไว้นั้นก็มีการประดับเพชรจนเต็มวงด้วยเช่นกัน
Oyster Perpetual Day-Date เป็นนาฬิกาที่เปิดตัวเมื่อปี 1956 และสร้างชื่อในฐานะเรือนเวลารุ่นแรกในโลกที่แสดงค่าวันในแต่ละสัปดาห์ผ่านทางหน้าต่างทรงโค้งบริเวณ 12 นาฬิกาบนหน้าปัด เพิ่มเติมต่างหากจากวันที่ในหน้าต่างที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา และมีจำนวนภาษาที่ใช้แสดงค่าวันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมีมากถึง 26 ภาษาในปัจจุบัน และเพราะว่า Oyster Perpetual Day-Date มีการผลิตด้วยโลหะมีค่าอย่างเช่นเยลโลว์โกลด์ ไวท์โกลด์หรือเอเวอร์โรสโกลด์ 18 กะรัต หรือแพลทตินัม 950 เท่านั้น นาฬิการุ่นนี้จึงได้รับการตั้งสมญานามว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความเลอค่า และก็ยังมีอีกชื่อเรียกว่า “นาฬิกาประธานาธิบดี” เพราะว่ามีนักการเมืองระดับโลกจำนวนมากตลอดจนผู้กำกับภาพยนตร์และบุคคลผู้มีวิสัยทัศน์ก้าวไกลหลายท่านใส่นาฬิการุ่นนี้
นาฬิกา Oyster Perpetual Day-Date 40 รุ่นเยลโลว์โกลด์ 18 กะรัตนี้ทำงานด้วยกลไก calibre 3255 ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อคอลเลคชั่นนี้โดยเฉพาะในปี 2015 และยังคงเป็นเครื่องนาฬิกาแบบขึ้นลานอัตโนมัติที่อยู่ในระดับแนวหน้าของวงการนาฬิกาด้วยประสิทธิภาพอันเหนือชั้นในแง่ของความเที่ยงตรง กำลังลานสำรอง ตลอดจนความทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนและสนามแม่เหล็ก สายนาฬิกาเป็นแบบ President ซึ่งเป็นสายนาฬิกาแบบข้อ 3 ตอนที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อนาฬิกา Oyster Perpetual Day-Date โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 1956 และทุกวันนี้ยังสงวนไว้ใช้เฉพาะในคอลเลคชั่นนี้และในนาฬิกา Datejust เวอร์ชั่นที่ผลิตด้วยโลหะมีค่าบางรุ่นเท่านั้น ซึ่งก็จะเป็นการนำเข้าสู่นาฬิกาสองรุ่นสุดท้ายที่เราคัดเลือกมาเพื่อเป็นตัวอย่างแห่งความเป็นเลิศในด้านอัญมณีศาสตร์และการประดับอัญมณีบนนาฬิกาของ Rolex
ความตระการตาของนาฬิกา Oyster Perpetual Lady-Datejust รุ่นเยลโลว์โกลด์ 18 กะรัตและรุ่นไวท์โกลด์ 18 กะรัตนี้อยู่ที่การประดับเพชรบนทุกพื้นที่ของนาฬิกา นับจำนวนได้ 291 เม็ดบนหน้าปัด 44 เม็ดบนขอบหน้าปัด 158 เม็ดบนด้านข้างของและบนขาของตัวเรือนขนาด 28 มม. สำหรับข้อมือขนาดเล็ก ไม่เพียงเท่านั้น สายนาฬิกาแบบ President ของนาฬิการุ่นนี้ยังทอประกายระยิบระยับในทุกมุมมองด้วยการประดับเพชรอีก 596 เม็ด สายนาฬิการุ่นนี้มีการติดตั้งแผ่นเซรามิกอยู่ด้านในข้อสายด้วยเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและทำให้คงทนยาวนาน การติดตั้งกับตัวเรือนใช้ระบบตัวเชื่อมแบบซ่อนเพื่อให้ดูกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเรือน และมีบานพับซ่อนแบบ Crownclasp ที่ทำให้นาฬิการุ่นนี้ดูสง่างามเป็นที่สุด
นาฬิกา Oyster Perpetual Lady-Datejust ทั้งสองรุ่นนี้ทำงานด้วยกลไกแบบขึ้นลานอัตโนมัติรุ่นคาลิเบอร์ 2236 ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ล้ำสมัยของวงการนาฬิกามาตั้งแต่ปี 2014 ด้วยองค์ประกอบอย่างเช่นแฮร์สปริงแบบ Syloxi ซึ่งสามารถคงความเที่ยงตรงได้มากกว่าแฮร์สปริงปกติถึง 10 เท่าในกรณีที่นาฬิกาได้รับแรงสั่นสะเทือน เอสเคปวีลผลิตจากนิคเกิลฟอสฟอรัสจึงไม่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของสนามแม่เหล็ก ตลอดจนโรเตอร์ขึ้นลานแบบ Perpetual ซึ่งทำให้เครื่องนาฬิการุ่นนี้มีกำลังลานสำรองนานถึงประมาณ 55 ชั่วโมง
เพื่อเป็นการรับรองมาตรฐานแห่งความเป็นเลิศ นาฬิกา Rolex ทุกเรือนจะได้รับการรับรอง Superlative Chronometer ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2015 โดยก่อนที่จะมีการรับรองนั้นนาฬิกาที่ประกอบเสร็จแล้วแต่ละเรือนจะต้องถูกทดสอบเป็นการภายในที่ Rolex เพื่อให้มั่นใจได้ในเรื่องความเที่ยงตรง การกันน้ำ การเก็บกำลังลานสำรองและประสิทธิภาพในการขึ้นลาน นาฬิกาที่ผ่านมาตรฐาน Superlative Chronometer จะมีความเที่ยงตรงอยู่ในเกณฑ์ความคลาดเคลื่อน +2/-2 วินาทีต่อวันเท่านั้น และจะมาพร้อมกับสัญลักษณ์ตราประทับสีเขียวและการรับประกันในระดับนานาชาตินานถึง 5 ปีเต็ม
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนาฬิกา Rolex ที่ https://www.srichaiwatch.com
See also: The Everlasting Sentimental Value of a Rolex Timepiece
Stringent quality control and in-house expertise make Rolex gem-set watches a class of their own.
Words: LuxuoTH
Beyond the perennially popular Rolex professional watches, there is another highly coveted collection that reveals a completely different sense of beauty. We are talking about the exquisite creations in precious metals, embellished with diamonds, sapphires, rubies, emeralds or other gems on the bezel, dial, case or bracelet. Such Rolex watches are no less robust than their unadorned counterparts. After all, the brand with the crown is known for their uncompromising quality.
Rolex has produced gem-set watches throughout its history. The embellished watches display a sparkling symphony that enchants the wearer, whilst conserving their identity and all their technical features such as reliability, robustness and resistance to magnetic fields and to shocks. To adorn its timepieces with the most striking gemstones, the brand has its own in-house gemmologists and gem-setters.
Gemmologists are responsible for examining and selecting the gemstones received, retaining only those that meet Rolex’s extremely stringent quality criteria. Upon their arrival at the ateliers, all gemstones – both diamonds and coloured stones – undergo rigorous verification procedures. To guarantee the quality of the stones, gemmologists have a range of analysis tools at their disposal, in addition to their own expertise. These tools, some of which are specially developed for Rolex, can provide information on the stones’ chemical composition.
Diamonds, for example, are systematically tested via x-ray imaging to confirm their authenticity. Rolex uses only the highest quality natural stones. Where diamond clarity is concerned, IF (Internally Flawless) stones alone are accepted – those in the highest category of the grading scales generally used in gemmology. Colour-wise, the brand chooses to use only the most colourless diamonds; they must fall within categories D to G – the highest grades on the colour scale of the Gemological Institute of America.
Once approved by the gemmologists, the precious stones are then entrusted to the gem-setters. With the precision of a watchmaker, they set each stone, one by one, onto the watches. A gem-setter’s craft is multi-faceted. First, decisions are made with designers in the Creation Division about the colours and arrangement of the stones. This is a subtle exercise in finding a balance between aesthetic and technical requirements.
The gem-setter then patiently sets the stones individually in their optimal position to achieve a perfect harmony of colours and reflection. Rolex tolerances are to within no more than two hundredths of a millimetre, which is around a quarter of the diameter of a human hair. The surrounding metal is then gently pushed into place around the stones to fix them securely. The skill of the gem-setter is showcased in their ability to choose the appropriate tool, to find the right angle, and to apply the correct amount of force – a step repeated up to almost 3,000 times on certain diamond-paved dials.
Then, there is the matter of creativity in design. Rolex has demonstrated clear aptness in the assortment of diamonds and gemstones. The Oyster Perpetual Yacht-Master 40 is presented in 18 ct white gold for the first time, and the bezel insert with 60-minute graduation is replaced by a glorious arrangement of trapeze-cut precious stones in the hues inspired by the aurora borealis and the glow of dawn. This is realised through the sequential setting of pink sapphire, light-blue sapphire, diamond, purple sapphire and dark-blue sapphire that is repeated eight times around the bezel. The arrangement is further enhanced by the triangular diamond at the 12 o’clock position.
The case shines with the setting of 46 brilliant-cut diamonds on the lugs and the crown guard of the 18 ct white gold case which is every bit as robust as that on the non-gem-set version. Moreover, equally stunning and functional, its sapphire crystal is virtually scratchproof, and the Cyclops lens above the date window benefits from an anti-reflective coating.
On the intense black, glossy dial, 18 ct white gold hands mark the passage of time with accuracy, thanks to the design and construction of calibre 3235 with traversing balance bridge and high-precision regulating via four gold Microstella nuts. The power reserve on this self-winding movement is approximately 70 hours. This particular version of the Oyster Perpetual Yacht-Master 40 is fitted with an Oysterflex bracelet with an Oysterlock folding safety clasp in 18 ct white gold.
Another bedazzling piece that has arrested our attention is the Oyster Perpetual Day-Date 40 in 18 ct yellow gold with a fully paved dial and diamond-set bezel. Its enchanting dial is realised through the precision of the gem-setters who hand-carve the groove in which each diamond will be set meticulously. Ten baguette-cut diamonds serve as hour markers on this dial, and the timepiece is completed with a bezel that is entirely set with diamonds.
Launched in 1956, the Oyster Perpetual Day-Date has made a name for itself by being the first watch in the world to display the day of the week in an arc-shaped window at the 12 o’clock position on the dial, in addition to the date at the regular window at three o’clock. Available in 26 different languages and made only from precious metals, such as 18 ct yellow, white, or Everose gold or 950 platinum, the Oyster Perpetual Day-Date is undoubtedly a symbol of prestige. It also became known as the “presidents’ watch” due to the fact that it was worn by many of the world’s political figures, directors and visionaries.
This particular version of the Oyster Perpetual Day-Date 40 is powered by calibre 3255. Introduced for the collection in 2015, the self-winding movement remains at the forefront of watchmaking technology with outstanding performance in terms of precision, power reserve, resistance to shocks and magnetic fields. Its 40 mm case is fitted with a President bracelet – a creation of three-piece links that was designed specifically for the Oyster Perpetual Day-Date in 1956 and still reserved exclusively for the collection and precious metal versions of the Datejust up until now. This brings us to the last two timepieces we have chosen to highlight Rolex’s gemmology and gem-setting excellence.
Revealing the exceptional radiance of diamonds, Rolex has created two completely paved versions of the Oyster Perpetual Lady-Datejust in 18 ct yellow gold and 18 ct white gold. Diamonds adorn every surface of these watches which are designed specifically for slender wrists. There are 291 of them on the dial alone, plus 44 on the bezel and 158 more on the sides and the lugs of the 28 mm case. The brilliance of the diamonds can be admired from all angles thanks to the addition of 596 diamonds set on the President bracelet which has ceramic inserts inside its links to enhance flexibility and longevity. The bracelet’s concealed attachment system ensures seamless visual continuity with the case, while the concealed folding Crownclasp keeps this dainty watch ever so elegant.
These Oyster Perpetual Lady-Datejust watches are equipped with calibre 2236 which presented several improvements when it was first introduced in 2014. Its Syloxi silicon hairspring is 10 times more precise than a regular hairspring when the watch experiences shocks. The escape wheel, made of nickel-phosphorus, is paramagnetic. This is a self-winding movement with a Perpetual rotor and a power reserve of approximately 55 hours.
All watches featured in this article are Superlative Chronometer certified. This standard of excellence was established by Rolex in 2015. It involves a series of tests conducted internally at Rolex on fully assembled watches to verify their precision, waterproofness, power reserve and self-winding efficiency. This ensures that Superlative Chronometer timepieces perform within the deviation tolerance of +2/-2 seconds per day. As such, they are symbolised by the green seal and the confidence of an international 5-year guarantee.
For more information about Rolex timepieces, please visit https://www.srichaiwatch.com/.
See also: The Everlasting Sentimental Value of a Rolex Timepiece